ระดับหลักประกันในการเทรดสกุลเงิน
หนึ่งในตัวชี้วัดหลักหรือเครื่องมือที่เทรดเดอร์ใช้ในปัจจุบันคือ ระดับหลักประกัน (Margin Level)
ในขณะที่ Margin คือผลต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกับราคาขายของผลิตภัณฑ์หรือบริการหนึ่ง ๆ แต่ Margin Level นั้นคือเงินประกันที่นักลงทุนถือเอาไว้เพื่อให้สามารถเปิดสถานะที่มีอยู่ได้
คำจำกัดความที่พื้นฐานที่สุดของคำนี้คือ ค่าร้อยละที่คิดจากจำนวนของเงินประกันที่ใช้ได้และเข้าถึงได้เทียบกับเงินประกันเพียงอย่างเดียว พูดง่าย ๆ ก็คือ นี่คือค่าสหสัมพันธ์ของจำนวนเงินทั้งหมดของบัญชีกับเงินประกันซึ่งคำนวณมาได้ด้วยวิธีเฉพาะ
การคำนวณระดับหลักประกัน (Margin Level) ปกติจะต้องหารจำนวนเงินทั้งหมดของบัญชีด้วยเงินประกันที่ใช้ แล้วคูณด้วยร้อย ระดับหลักประกันที่คำนวณได้นั้นจะถูกใช้ในการคาดการณ์ว่าเทรดเดอร์จะสามารถเข้าซื้อในตลาดสกุลเงินใหม่ได้หรือไม่ สมการนี้ปกติจะช่วยให้เทรดเดอร์คำนวณได้อย่างมีประสิทธิภาพว่าจะสามารถใช้เงินทุนเพื่อเปิดการซื้อขายใหม่ได้กี่เปอร์เซ็นต์
การเทรดกับระดับหลักประกัน
ในการเทรดในตลาดสกุลเงิน เทรดเดอร์หรือนักลงทุนจะต้องเข้าใจเรื่องหลักประกัน (Margin) และระดับหลักประกัน (Margin Level) ก่อน ดังนั้นก่อนที่จะทำความคุ้นเคยกับการเทรดสกุลเงิน เราจะต้องมาทำความเข้าใจกับแนวคิดของระดับหลักประกัน
การใช้ระดับหลักประกันในการเทรดสกุลเงินนั้นสามารถอธิบายได้อย่างดีที่สุดเช่นนี้ เมื่อนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายโดยวางหลักประกันเพื่อเทรดในตลาดสกุลเงิน นักลงทุนจะต้องสามารถฝากเงินจำนวนหนึ่งซึ่งก็ตามแต่เปอร์เซ็นต์หลักประกันของโบรกเกอร์นั้น ๆ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ในช่วงหนึ่งหรือสองเปอร์เซ็นต์
ในการเทรด หลักประกัน (Margin) เป็นส่วนหนึ่งของการเทรดสกุลเงินซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันได้ว่าการทำธุรกรรมซื้อขายสกุลเงินนั้นจะให้ผลกำไรที่สูง รวมถึงพื้นฐานความรู้ที่กว้างขวางในเรื่องระดับหลักประกัน (Margin Level) และการเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) ด้วย สิ่งเหล่านี้ยังสามารถช่วยสร้างกลยุทธ์การเทรดที่เสถียรซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการขาดทุนและสร้างผลกำไรให้ได้อีกด้วย
การเรียกหลักประกันเพิ่ม
เนื่องจากนักลงทุนยืมเงินจำนวนหนึ่งจากโบรกเกอร์เพื่อเปิดการเทรดและการลงทุน การขาดทุนหรือราคาหลักทรัพย์อาจมาถึงจุดที่ตกลงไปต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการหรือหลักประกันรักษาสภาพ ตรงนี้คือจุดที่การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) เข้ามา นักลงทุนจะถูกเรียกหลักประกันเพิ่มจากโบรกเกอร์ของตน หากสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ของพวกเขาจำนวนหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนซื้อโดยใช้เงินประกันที่ยืมมา นั้นสูญเสียมูลค่าหรือลดลงถึงจุดหนึ่ง เปอร์เซ็นต์ที่จะพิจารณาว่ามูลค่าลดลงมักจะอยู่ที่ประมาณ 25% อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็มักจะตามแต่โบรกเกอร์หรือจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ดังกล่าว
การเรียกหลักประกันเพิ่มที่โบรกเกอร์ทำนั้นจะต้องการให้นักลงทุนทำการฝากเงินอีกครั้งในจำนวนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเป็นหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) ซึ่งเป็นจำนวนขั้นต่ำที่ต้องมีในบัญชีซื้อขายโดยวางหลักประกัน (Margin Account) นอกจากนี้ยังอาจเรียกว่าเป็นหลักประกันรักษาสภาพเริ่มต้น (Maintenance Requirement) เนื่องจากตามหลักแล้วมันเป็นจำนวนเงินที่ต้องมีเพื่อให้บัญชีหรือการลงทุนเปิดอยู่ได้
การซื้อด้วยมาร์จิ้น
ในการลงทุน การซื้อด้วยมาร์จิ้น (Margin Buying) โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการซื้อสินทรัพย์หรือสกุลเงินที่ราคาเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าดั้งเดิมของสินทรัพย์นั้น ๆ และจ่ายค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนส่วนที่เหลือจากโบรกเกอร์หรือบริษัทการเงินซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นธนาคาร โดยโบรกเกอร์มักจะมีตัวเลือกนี้ให้พร้อมบัญชีซื้อขายโดยวางหลักประกัน (Margin Account)
ข้อมูลจาก https://www.ploynaka.com/detail/174